มองในมุมนี้แล้ว ความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกคู่นี้-ก็ดูจะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าเรื่องของอุดมการณ์ แต่ไม่ว่าความบาดหมางนี้จะวางอยู่บนเงื่อนไขอะไร ใครคนหนึ่งที่คอยทำหน้าที่ประสานรอยร้าวนี้ตั้งแต่ต้นก็คือเจนนี่ ดังจะเห็นได้ว่า เธอพยายามเตือนสติคนรัก และพูดจาปกป้องมิสเตอร์แบร์เร็ทท์ตามที่เธอมองว่าเหมาะควร
อย่างไรก็ตาม นอกจากหญิงสาวจะไม่อาจโน้มน้าวให้ชายหนุ่มคล้อยตาม มันยังนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งอย่างใหญ่โตครั้งแรกและครั้งเดียวระหว่างคนทั้งสอง ซึ่งนั่นอธิบายกับผู้ชมโดยอ้อมว่า สาเหตุแท้จริงที่บันดาลให้พ่อลูกคู่นี้ไม่อาจจะปรองดองกัน-ก็เพราะพวกเขาดื้อรั้นและหัวแข็งเกินไป
อย่างไรก็ดี ในฉากเดียวกันนี้เองที่หนังให้เจนนี่กล่าวประโยคที่เป็นทั้งการเสนอทางออกให้กับปัญหาที่แก้ไม่ตกนี้ และเป็นสาระสำคัญหรือธีมหลักของเรื่องทีเดียว
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากโอลิเวอร์พยายามเอ่ยปากขอโทษหญิงสาวผู้เป็นที่รักเพราะสำนึกได้ว่าเขาทำร้ายจิตใจของเธออย่างรุนแรง แต่ก่อนที่จะได้กล่าวอะไรมากไปกว่านั้น หญิงสาวก็พูดขึ้นทันทีว่า “Love means never having to say you’re sorry” หรืออีกนัยหนึ่ง สิ่งที่เธอต้องการหมายถึงก็คือ ถ้าคนสองคนรักและเข้าใจกันจริงๆ คำกล่าวแสดงความเสียใจใดๆก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น
สำหรับโอลิเวอร์ ข้อคิดดังกล่าวกลายเป็นบทเรียนล้ำค่า ไม่ใช่เพราะมันช่วยยุติความขัดแย้งลงได้โดยปริยาย แต่ในอีกไม่นาน เหตุการณ์ไม่คาดฝันบางอย่างได้ทำให้ชายหนุ่มซาบซึ้งถึงความหมายของประโยคข้างต้นอย่างแท้จริง

คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังว่า ในที่สุดแล้ว เนื้อหาทั้งหมดลงเอยอย่างไร ทั้งนี้เพราะตัวเอกของเรื่องเฉลยตอนจบให้ผู้ชมได้รับรู้ตั้งแต่ประโยคแรก การล้มป่วยด้วยโรคร้ายของเจนนี่(ซึ่งหลายคนอยากรู้ว่า มันคือโรคอะไร เพราะหนังไม่ได้ให้เงื่อนงำใดๆที่พอจะคาดเดาได้เลย)ส่งผลให้โอลิเวอร์ลดทิฐิมานะของตัวเอง และทำในสิ่งที่เขาปฏิเสธมาตลอดตั้งแต่ต้น นั่นคือการซมซานกลับไปหาพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือทางด้านการเงิน แน่นอนว่า-ถ้าไม่ใช่เพื่อหญิงสาวผู้เป็นที่รัก ชายหนุ่มก็คงจะไม่มีวันละวางอัตตาถึงเพียงนี้
ใครที่ได้อ่านนิยายของเอริค ซีกัล(ที่เขียนจากบทภาพยนตร์ของเขาเอง)ก็จะพบว่ามันจบไม่เหมือนในหนังของอาร์เธอร์ ฮิลเลอร์-ซึ่งเปิดและปิดด้วยฉากเดียวกันที่สวนสาธารณะ ในนิยาย ฉากจบอยู่ก่อนหน้านั้นในโรงพยาบาล กล่าวคือ ภายหลังจากที่มิสเตอร์แบร์เร็ตต์เซ็นเช็คให้พระเอกตามจำนวนที่ร้องขอ-โดยเข้าใจว่า มันเกี่ยวข้องกับความยุ่งยากเรื่องผู้หญิง เขาก็สืบจนล่วงรู้ความจริง และรีบรุดไปที่โรงพยาบาล
ชายชราพบกับโอลิเวอร์ตรงประตูทางเข้าโรงพยาบาลพอดี และได้รับแจ้งข่าวร้ายจากลูกชาย เขาพยายามทำอย่างเดียวกับโอลิเวอร์ในฉากสำคัญที่เพิ่งกล่าวถึงข้างต้น อันได้แก่การขอโทษ(ในสิ่งที่ได้ทำลงไป)และแสดงความเสียใจ ขณะที่ชายหนุ่มก็ตอบกลับด้วยประโยคคำพูดของเจนนี่นั่นเอง เหตุการณ์สุดท้ายตามที่บรรยายไว้ในหนังสือก็คือ ชายหนุ่มร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นบิดา
แม้เสียงจากห้วงคำนึงของโอลิเวอร์จะระบุว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองเอ่ยประโยคนั้นของเจนนี่ขึ้นมาทำไม แต่ผู้อ่านก็สรุปได้ในที่สุดว่าพ่อลูกคืนดีกัน และเจนนี่ผู้ล่วงลับก็บรรลุเป้าหมายที่เธอเพียรพยายามตลอดมา
น่าเสียดายอยู่นิดนึงที่หนังไม่ได้ให้ผู้ชมได้เห็นภาพที่แจ่มชัดของการทลายกำแพงของกันและกันนี้บนจอ และปล่อยให้ผู้ชมไปนึกเอาเอง ทว่าอย่างน้อย เราก็สามารถอนุมานได้ว่า นอกจากชายหนุ่มไม่ได้ละทิ้งบทเรียนสำคัญที่คนรักได้ฝากไว้แล้ว เขายังได้ส่งมอบต่อไปให้พ่อของตัวเอง
ซึ่งผู้ชมก็ได้แต่มองโลกแง่ดีและคาดหวังว่า สุดท้ายแล้ว ความรักที่พ่อลูกคู่นี้เพิ่งตระหนักได้ว่ามีต่อกัน-จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขทุกๆปัญหาให้ลุล่วงไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย